วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไขปัญหาข้อข้องใจแก๊สโซฮอล์



ปัญหาและข้อข้องใจเกี่ยวน้ำมันแก๊สโซฮอล์

      ตามที่มีข้อสงสัยกรณี"น้ำมันแก๊สโซฮอล์มีผลกระทบต่อถังน้ำมันและท่อทางเดิน น้ำมันของรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 ขึ้นไป" นั้น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ปตท. ได้มุ่งมั่นทุ่มเทการดำเนินงานเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค เสมอมา ภายใต้การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายแรกของประเทศที่ จำหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว รวมถึงการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ดี มีคุณภาพเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ผ่านสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. ซึ่งเป็นสถาบันที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาตเอเชีย ใคร่ชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องโดยขอสรุปสาระสำคัญผ่านข้อสงสัยดังนี้

ข้อสงสัยที่ 1 :  รถยนต์ในประเทศไทยที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 ขึ้นไป วัสดุน้ำมันและท่อทางเดินน้ำมันจากถังน้ำมันเข้าสู่เครื่องยนต์ จะทำจากยางหรือพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันไร้สารตะกั่วทำปฏิกิริยากับถังน้ำมันเหล็กของรถยนต์ รุ่นเก่ากว่าปี 1994 ลงไป ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมารณรงค์ให้ใช้ "น้ำมันแก๊สโซฮอล์" หรือ E10 ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอล 10% และนำมันเบนซิน 91 อยู่ 90% เอทานอล 10% ที่ว่านี้จะทำปฏิกิริยากับถังน้ำมันรถยนต์และท่อทางเดินน้ำมัน ซึ่งรถยนต์ที่ผลิตจากวัสดุที่ทำจากยางหรือพลาสติกชนิดพิเศษดังกล่าว จะเกิดการกัดกร่อนกลายเป็นตะกอนสะสมในถังน้ำมัน

คำตอบที่ 1 :  ในทุกประเทศที่มีการยกเลิกสารตะกั่วในน้ำมันเบนซินจำเป็นต้องใช้สารเพิ่มค่าออกเทนชนิดอื่นมาทดแทน ซึ่งสารที่สามารถนำมาทดแทน ซึ่งสารที่สามารถนำมาใช้ได้และไม่มีผลกระทบกับสมรรถนะของรถยนต์คือสาร MTBE และEthanol (เอทานอล) ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงได้มีการพัฒนาวัสดุที่ใช้ในระบบฉีดเชื้อเพลิง ตั้งแต่ถังน้ำมัน ปั๊มน้ำมัน ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ท่อทางเดินน้ำมัน จนถึงหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีคุณสมบัติที่สามารถทนต่อสาร MTBE และEthanol ได้ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงได้ให้ความมั่นใจว่า รถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา สามารถใช้ได้กับน้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอลได้ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบยี่ห้อ รุ่นรถได้ที่เว็บไซต์ของ ปตท. www.pttplc.com อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ผลิตก่อนปี 1995 บางรุ่นอาจใช้น้ำมันแก็สโซฮอล์ได้ โดยผู้ใช้สามารถสอบถามโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์

ข้อสงสัยที่ 2 :  การใช้แก๊สโซฮอล์จะไปทำปฏิกิริยากับถังน้ำมันรถยนต์และท่อทางเดินน้ำมันรถยนต์ที่ผลิตจากวัสดุที่ทำจากยาง หรือพลาสติกชนิดพิเศษดังกล่าว ทำให้เกิดการกัดกร่อน กลายเป็นตะกอนสะสมในถังน้ำมันไปเรื่อยๆ ทีละน้อย ปั๊มน้ำมันไฟฟ้าจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดูดน้ำมันเข้าไปเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ ทำให้อายุการใช้งานของปั๊มน้ำมันไฟฟ้าสั้นลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกรองเบนซินอุดตันเร็วกว่าปกติ

คำตอบที่ 2 :  เนื่องจากวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในระบบฉีดเชื้อเพลิงของรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 และผู้ผลิตได้ให้คำแนะนำว่าสามารถใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้นั้น ได้ถูกออกแบบมาและมีการทดสอบแล้วว่าสามารถทนต่อ MTBE และ Ethanol ได้ ดังนั้นจึงไม่มีการละลายของยางหรือเกิดการกัดกร่อนของยาง หรือ พลาสติกใด ๆจนเป็นสาเหตุให้เกิดตะกอนสะสมในถังน้ำมันอย่างที่เข้าใจกันสำหรับกรณีที่สงสัยว่า ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แล้วทำให้ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกรอง เบนซินอุดตันเร็วนั้น “ไม่เป็นความจริง” เพราะการที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ ลักษณะการใช้งานของรถยนต์, อายุการใช้งานของไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง คุณภาพของไส้กรองเป็นต้น หากรถยนต์บางคันมีการสะสมของคราบสิ่งสกปรกในระบบเชื้อเพลิง อยู่แล้ว เมื่อเปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในด้านการทำความสะอาดจึงอาจไปชะล้างคราบสิ่งสกปรกออกมาในครั้งแรกของการใช้เท่านั้น

ข้อสงสัยที่ 3 :  ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์จะมีตะกอนของยางและพลาสติกชนิดพิเศษไปเกาะตามบ่าวาล์ว ลูกสูบ แหวนลูกสูบ หากมีปริมาณไม่มาก ก็จะทำให้แหวนลูกสูบสึกหรอไปทีละน้อย แต่หากมีปริมาณมากๆแล้วแหวนลูกสูบจะบิ่นทำให้เครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาเนื่องจากแหวนลูกสูบไม่สามารถกวาดน้ำมันเครื่องลงก้นอ่างได้หมดทำให้รถยนต์คันนั้นมีปัญหาการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ สะสมทีละน้อยๆ เครื่องก็จะค่อยๆ หลวมไปทีละนิด

คำตอบข้อที่ 3 :  ปตท. โดย สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ได้วิจัยทดสอบการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์กับรถยนต์ทั้งที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา และรถรุ่นเก่าที่ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบคาร์บูเรเตอร์ ที่ระยะทาง 100,000 กิโลเมตร โดยวัดมลพิษไอเสียและทดสอบสมรรถนะเครื่องยนต์ทั้งตลอดช่วงเวลาการใช้งานและหลังการใช้งานโดยการถอดเครื่องยนต์เพื่อประเมินความสกปรกที่เกิดขึ้นที่ลิ้นไอดี ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ รวมทั้งความสึกหรอตามชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ลูกสูบ แหวนลูกสูบ กระบอกสูบ แบริ่งส่วนต่างๆ วัดอัตราการฉีดเชื้อเพลิงของหัวฉีด และตามชิ้นส่วนต่างๆ ของคาร์บูเรเตอร์ ผลการประเมินชิ้นส่วนทั้งหมดพบว่า ระดับของการสึกหรออยู่ในระดับปกติ ไม่แตกต่างจากการใช้เชื้อเพลิงเบนซินทั่วไป ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการใช้ “น้ำมันแก๊สโซฮอล์” ไม่ได้มีผลกระทบต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ที่ผิดปกติไปกว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงธรรมดาแต่อย่างใด

ข้อสงสัยที่ 4 :  คาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ หรือตัวกรองไอเสียของรถยนต์ในปัจจุบันไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานกับเชื้อเพลิงชนิดเอทานอลเบลนด์ การใช้งานเชื้อเพลิงชนิดอื่นนอกจาก RON (น้ำมันไร้สารตะกั่ว) ย่อมทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์ชนิดนี้ลดลงกว่าที่ควรจะเป็น (คาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์อายุใช้งานเฉลี่ยประมาณ 10 ปี)

คำตอบข้อที่ 4 :  โดยปกติ คาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ หรืออุปกรณ์กรองมลพิษไอเสีย จะเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นลง เมื่อสัมผัสกับโลหะหนักที่อยู่ในไอเสีย เช่น สารตะกั่ว กำมะถัน ซึ่งน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่ได้มีโลหะหนักผสมอยู่ จึงไม่ได้มีผลต่ออายุการใช้งานคาตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ทั้งนี้ การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์กรองมลพิษไอเสีย มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่

  4.1 เสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ ซึ่งปกติอายุของอุปกรณ์กรองไอเสียนี้จะมีอายุประมาณ 1- 2 แสนกิโลเมตร ตามระดับเทคโนโลยีการผลิต

  4.2 ความเสียหายที่เกิดจากการใช้งานไม่เหมาะสม เช่น ติดตั้งอุปกรณ์เข้าใกล้เครื่องยนต์มากเกินไป
การใช้งานที่อุณหภูมิของไอเสียสูงมากเป็นระยะเวลานาน หรือ การอุปกรณ์กรองไอเสียถูกกระแทกอย่างแรง

ข้อสงสัยที่ 5 :  น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10ที่ใช้กันในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตเอทานอลในประเทศไทยแต่ละรายยังไม่สามารถส่งมอบเอทานอลได้มาตรฐานตามข้อกำหนด ทำให้คุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันยังไม่นิ่งและแปรเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบของแต่ละโรงงานผลิต ส่งผลให้การผสมน้ำมันเบนซินไม่ได้สัดส่วนที่แน่นอนอย่างที่ควรจะเป็นเนื่องจากมีบางโรงงานลดคุณภาพของเอทานอลลง เพราะไม่สามารถปรับราคาจำหน่ายขึ้นจาก 12.75 บาท มาเป็น 14.90 บาทได้ จนกระทั่งปัจจุบันรัฐบาลต้องให้ราคาสูงถึง ลิตรละ15.00บาทในช่วง3เดือนที่ผ่านมาเพื่อจูงใจให้โรงงานผลิตเอทานอลเหล่านี้

คำตอบข้อที่ 5 :  ในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายจะต้องจัดหาเอทานอลที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนดคุณภาพของเอทานอลที่ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งไม่ว่าผู้ผลิตเอทานอลจะผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบชนิดใด หรือจะต้องขายเอทานอลด้วยราคาเท่าใดก็ตาม เอทานอลที่จะนำเสนอขายหรือผลิตได้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามประกาศข้อกำหนดด้วย มิฉะนั้นผู้ค้าน้ำมันจะไม่สามารถรับซื้อได้ นอกจากนั้น ผู้ค้าน้ำมันจะต้องผสมเอทานอลในอัตราส่วนตามที่กฎหมายกำหนดและควบคุมคุณภาพของแก๊สโซฮอล์ที่ผลิตได้ให้เป็นไปตามประกาศคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ปีพ.ศ. 2547ของกรมธุรกิจพลังงาน เช่นกัน

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จุดกำเนิด Volkswagen หรือ เจ้าเต่าทอง

Ferdinand
     จุดกำเนิดของ  Volkswagen เริ่มต้นตั้งแต่ที่ ย้อนหลังเมื่อประมาณปี 1930 ในยุคที่โลกของเราอยู่ในสภาวะวิกฤต คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมัน ในฐานะเป็นผู้นำกลุ่มอักษะ ได้ใช้ยุทธวิธีทั้งกำลังพลและกำลังอาวุธที่มากด้วยประสิทธิภาพ แล้วส่งไปตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วภูมิภาค เพื่อหวังจะยึดครองโลกหนึ่งในบรรดาจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งต้องอาศัยพาหนะที่ใด้อย่างเหมาะสมกับทุกสภาพ...


    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสงครามฝ่ายอักษะ ได้สั่งให้ ดร.นอร์ท โฮป ร่วมกับวิศวกรชาวเยอรมันอีกท่าน คือ ดร.เฟอร์ดินัน ปอร์เช่ ผู้ออกแบบรถปอร์เช่ ให้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการทำศึกสงครามกลางทะเลทราย และรถคันนั้นก้อคือ รถโฟล์กสวาเก้น หรือเจ้าเต่าทองนั่นเอง และ ณ จุดนี้เอง ที่รถโฟล์กสวาเกนกำหนดขึ้น

    ในปี 1938 รถโฟล์กคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกันอย่างจริงจังด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ว่า ต้องเป็นรถของประชาชนตามชื่อของรถ เพราะคำว่าVolk ในภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ประชาชน ส่วนคำว่า Wagen นั้นแปลว่า รถยนต์ ดังนั้น รถโฟล์กคันนี้จะต้องเป็นรถที่จุคนได้ 4-5 คน ต้องกินน้ำมันน้อยต้องทนทานได้นานที่สุด ต้องวิ่งเร็วพอสมควร และที่สำคัญที่สุดต้องราคาถูกด้วย


สำหรับต้นกำเนิดโฟล์กสวาเกนในเมืองไทยยุคของฮิตเลอร์
     ผู้บุกเบิกเป็นคนแรก คือ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และได้เดินทางไปเยี่ยมน้องชาย คือ หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน ณ ที่นั่น ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับดร.นอร์ท โฮป ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทโฟล์ค ก้อได้มีการพูดคุยกัน และได้ปรึกษาหารือกับท่านว่า ให้ท่านเป็นตัวแทนจำหน่ายรถโฟล์กในประเทศไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีการนำรถโฟล์กในประเทศไทย เป็นรายแรกทั้งๆที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการขายรถมาก่อน

     ปี 1953 หรือ พ.ศ. 2496 บริษัท ประชายนต์ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา และที่มาของบริษัทนี้ มาจากรากศัพท์ของคำว่า Volk และ Wagen ที่แปลว่า รถของประชาชนนั่นเอง

     เมื่อแรกเริ่มของธุรกิจขายรถนั้น ท่านได้ร่วมบริหารงานกับหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิตผู้เป็นน้องชาย จากกิจการที่ไม่ใหญ่โตนัก มีเพียงรถโฟล์ค จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการ โดยได้นำเข้ารถยนต์เเพิ่มขึ้นอย่างเช่น Audi,BMW,Mercedez benz และ Porsche โดยพื้นที่ตั้งของสำนักงานอยู่ที่หัวมุมถนนหลวง ตรงข้ามวัดเทพศิรินทราวาส จนสุดถนนด้านแยกพลับพลาชัย และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพ่อได้มีการขยายกิจการจัดตั้งบริษัท ประมวลธุรกิจ จำกัด ขึ้นอีกแห่ง ซึ่งยังคงดำเนินกิจการ ขายรถยนต์เช่นกัน รวมถึงการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย ไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ของแต่ละภูมิภาค จนในที่สุด ได้มีการขยายกิจการไปถึงประเทศลาว


ยุคของฮิตเลอร์

     ในช่วงต้นของการบุกเบิกธรุกิจ เป็นช่วงที่ทำตลาดได้ดีมาก แต่พอช่วงปี 1972 ชื่อบริษัท ประชายนต์ จำกัด ได้หายไปจากวงการรถยนต์ อันเนื่องมาจากปัญหาภายในบริษัท จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการมาเป็นอู่ซ่อมรถ และรับตรวจสภาพรถโฟล์กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ช่วงเวลานั้น โดยหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิตยังคงเป็นผู้บริหาร


     หลังจากที่ดำเนินธุรกิจอู่ซ่อมรถภายใต้ชื่อ บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด จนถึงปี 2533 องค์ท่านถึงแก่ชีพิตักษัย ลูกชายคนเดียวของท่านจึงได้เข้ามารับช่วงต่อ โดยยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้เหมือนสมัยที่ท่านสร้างไว้ คือให้บริการซ่อมและตรวจสภาพรถโฟล์กทุกรุ่น แต่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Showtime VW และได้เพิ่มบริการอีกแขนงคือ รับตกแต่งรถโฟล์ก ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งมีผู้เคยถามท่านว่า จะทรงเกษียณอายุเมื่อใด ท่านรับสั่งว่า"คิดว่าเมื่อสิ้นชีวิต เพราะจะทำไปตลอดจนกว่าจะหมดความสามารถที่จะทำ"


    หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ประสูติ ณ วังไม้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2456 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย เวลา 6.35 นาฬิกา ทรงเป็นโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์) และหม่อมเอลิซาเบธ รังสิต ณ อยุธยา
ทรงมีอนุชา 1 องค์ และขนิษฐา 1 องค์ คือหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ และหม่อมเจ้าจารุลักษณ์กัลยาณทรงอภิเสกสมรสกับหม่อมราชวงศ์ผ่องลักษณ์ ทองใหญ่ ทรงมีธิดา 1 คน คือหม่อมราชวงศ์เยาวลักษณ์ทรงรับพระราชทานเสกสมรสกับหม่อมเจ้าวิภาวดี รัชนี (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)ทรงมีธิดา 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภานันท์ และหม่อมราชวงศ์ปรียานันทนายังทรงมีบุตรกับ บุญพิทักษ์ แสงฤิทธิ์(หม่อมพิทักษ์) คือ หม่อมราชวงศ์ประทักษ์ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยพระหทัยวาย ณ เชียงหใม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย เวลา 0.20 นาฬิกา ชนมายุ 76 ปี เดือน 6วัน


วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีใครเกิดมา ไร้ค่า ...

แม้แต่คนโง่ ที่สุด ยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ...

ไม่มี อะไรเสียเวลา ไปมากกว่า ...
การคิดที่จะย้อนกลับ ไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมี อะไร ช้าเกินไป ...
ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝันเป็นจริง

คนที่ไม่เคย หิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม
ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ...

อันตรายที่ สุดของชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง ...
อาจไม่ใช่ เหตุผลของคน อีกคนหนึ่ง

ถ้าคุณไม่ ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ...
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหา ทุกอย่าง ...ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

ยินดีกับ สิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ

คนเรา ...ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้นที่ได้ทำ ...

หัวใจของการ เดินทาง ...ไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง ...มากกว่า

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพลงทายนิสัย...บอกความเป็นตัวคุณ

เสียงเพลงสามารถสร้างความสุนทรียภาพ ด้วยรสชาติความครื้นเครงของเพลง เราบริโภคเพลงเหมือนว่ามันจะเป็นอาหารที่เรากินเข้าไปไม่เคยอิ่มซักที เมื่อไหร่ที่มีเพลงดีๆ มา เราก็นั่งฟัง นอกนฟัง ตามสไตล์ของตัวเอง ดีใจก็ร้องเพลง เสียใจก็ร้องเพลง คุณรู้ไหมว่า แนวเพลงที่แต่ละคนฟังนั้น สามารถบอกนิสัยและสไตล์ของเขาได้เหมือนกัน


เพลงดังในอดีต
แสดงว่าคุณชอบระลึกถึงวันแห่งความสุขในอดีต คุณเป็นคนประเภทอนุรักษ์นิยมโดยธรรมชาติ แต่ไม่ก้าวร้าวจนเกินไป และสามารถยืนหยัดด้วยตัวคุณเอง


เพลงแนวพั้งค์
คุณมีลักษณะเป็นคนเปิดเผย ชอบทำอะไรให้ผิดชาวบ้านออกไป ไม่แคร์ใครทั้งสิ้น เพราะเพลงแนวนี้มีเนื้อหาและท่วงทำนอง ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก อิสระเสรีเต็มพิกัด



เพลงร็อคแอนด์โรล
คนที่ชื่นชอบเพลงร็อคแอนด์โรล เรียกได้ว่าคุณไม่สามารถอยู่เฉยได้ ต้องกระตือรือร้นทั้งร่างกายและจิตใจ คุณมีพลังในตัวเอง ชอบแสดงออกและพยายามค้นหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ


เพลงแนวรักหวานซึ้ง
สำหรับผู้ที่โปรดปรานเพลงแนวรักหวานซึ้ง แสดงว่า คุณเป็นคนโรแมนติกจริงๆ เต็มไปด้วยความรู้สึก เป็นคนช่างคิดช่างฝัน เพราะทำให้คุณมีความสุขมากกว่าความเป็นจริง



เพลงปลุกใจหรือเพลงมาร์ช
หากคุณชอบเพลงแนวนี้ คุณค่อนข้างจะเป็นคนมีระเบียบ เป็นคนจริงใจ ซื่อตรง และจงรักภักดีอย่างแท้จริง เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าพูดกล้าทำ



เพลงลูกทุ่ง
ใครที่เป็นคอเพลงลูกทุ่ง หรือจะเรียกให้ดูอินเตอร์ ก็เรียกว่า "เพลงคันทรี" ขอทายเลยนะว่า นิสัยจริงๆ เป็นคนโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แก่คน อีกทั้งยังชอบช่วยเหลือผู้อื่น คำว่าเครียดน่ะเหรอ ไม่รู้จักซะหรอกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร



เพลงเก่าเพลงเพราะในอดีต
สำหรับผู้ที่มีรสนิยมชอบฟังเพลงเก่า สมัยรุ่นคุณพ่อ หรือประเภทเพลงที่คนร้องเสียชีวิตไปแล้ว พื้นนิสัยเป็นพวกประเภทชอบเพ้อฝัน อารมณ์ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และชอบจำชนิดฝังใจ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วก็ตาม



เพลงฮิต
ติดชาร์ท ประเภทว่ามาใหม่ล่าสุด สำหรับพวกที่ติดตามกระแสแฟชั่นอยู่ตลาด ไม่เว้นแม้แต่การฟังเพลง พวกนี้เป็นพวกรักสนุก ชอบนักแหละ อะไรสนุก ทำหมด... แต่ก็หวั่นไหวง่าย และอยากเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง รวมถึงคนรอบตัวด้วย



เพลงเฉพาะแนว
คนที่ไม่ชอบฟังเพลงตามกระแสนิยม แต่เลือกฟังในแนวที่ตัวเองชอบเพียงแนวเดียว แสดงว่าเป็นพวกอิสระทางความคิด เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง เชื่อมั่นในตัวเองเป็นที่สุด และมีเป้าหมายรวมถึงจุดยืนในชีวิตอย่างชัดเจน

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำให้ชีวิตคู่มีความสุข happy สุดๆ

การทำให้ชีวิตคู่มีความสุข happy สุดๆ ได้นั้นต้องใช้ "เวลาที่มีคุณภาพ” อยู่ร่วมกันไม่น้อยกว่า 22 ชั่วโมง และมีช่วงเวลาอาหารเย็น ในค่ำคืนอัน แสนโรแมนติก อย่างน้อย 7 ครั้ง ต่อเดือน

ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจสำคัญของความรักทั้งหมด อยู่ที่การ “กอด” การกอดกันวันละ 4 ครั้งสร้างความสุขให้ได้มากจริงๆ

ส่วนเรื่องกิจกรรมอันแสนวาบหวามระหว่างคู่รัก ก็ละเลยไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งคุณ
ควรจะวางแผนที่จะใช้เวลาอาบน้ำ หรือนวดผ่อนคลายให้กันและกัน ทุกๆ 10 วันเป็น
มาตรฐาน

“ในช่วงชีวิตอันยุ่งเหยิง เรามักจะวุ่นวาย หมดเวลาและหมดอารมณ์ไปกับงาน
และผู้คนที่ผ่านมาในแต่ละวัน โดยลืมให้ความสำคัญกับการกอด การสัมผัส จากคนที่
เรารัก คนในครอบครัว .. การกอด และสร้างความโรแมนติกร่วมกัน แม้จะไม่ทุกๆ
นาที แต่ทำอย่างมีคุณภาพนั้น จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส แข็งแรง และยิ่ง
แข็งแกร่ง ในระยะเวลาอันยาวนาน”

โดยเฉลี่ยแล้วคู่รักที่มีความสุข จะใช้เวลา “ไปเดินเล่น” ด้วยกัน ไปเที่ยวผับกลาง
คืน ไปดูหนังสองต่อสอง ด้วยกัน เฉลี่ยเดือนละครั้ง

ดอกไม้และช็อคโกแลต เคยเป็นตัวช่วยในการสร้างสถานการณ์อันน่าจดจำ และ
มันก็จะยังคงเป็นตัวช่วยที่ดี แม้ว่าคุณจะเลยช่วงเวลาที่เรียกว่า “พิธีแต่งงาน” มาแล้ว
ก็ตาม สามีควรจะหาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างความประทับใจ แบบเซอร์ไพร์ส
แก่ภรรยาบ้าง เน้นของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ช็อคโกแลต ดอก
กุหลาบ บทกลอนหวานๆ หรือเพลงที่มีความหมาย

หากต้องการความตื่นเต้นเร้าใจ เสมือนแรกคบกันใหม่ๆ แนะนำให้ลองเปลี่ยน
บรรยากาศ นัดกันไปพักค้างคืนกัน ต่างสถานที่ ต่างจังหวัด สองต่อสอง ดูบ้างก็ไม่เลว
หรือในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน เช่น ช่วยกันปัดกวาด
ทำความสะอาด จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ ฉันท์เพื่อน เกิดความสนุกร่วมกัน และ
จุดประกายความโรแมนติกขึ้นได้ไม่ยาก?


ความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม สร้างได้จากความรัก และไว้ใจ ซึ่งกันและกัน นั่น
หมายรวมถึงคุณควรจะเปิดใจ พูดคุยกันว่า อยากจะทำอะไรร่วมกับ เขาและเธอเพื่อให้
รักเรายืนยาวได้บ้าง... ที่สำคัญต้องลงมือทำจริงๆ?

โอ๋ ความรัก ??

รัก คือ รัก คือ รักเป็นสิ่งสวยงาม ที่ทุกๆคนสามารถสัมผัสได้ แต่มันยากนักที่จะเจอรักที่ใช่ คนที่ใช่ อย่างที่เราใฝ่ฝัน เห้อ จะมีสัพกคนมั้ยที่จะมาเข้าใจ